นำเข้าสินค้าจากจีนกับ 6 เคล็ดลับประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจ

นำเข้าสินค้าจากจีนกับ 6 เคล็ดลับประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจ - maxlogistics นำเข้าสินค้าจากจีน นำเข้าสินค้าจากจีนกับ 6 เคล็ดลับประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจ 6                                                                                                                       768x402

นำเข้าสินค้าจากจีน เนื่องจากภาษีศุลกากรและสงครามการค้าเพิ่มสูงขึ้น นำมาซึ่งค่าใช้จ่ายและความซับซ้อนในการทำธุรกิจข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอัตราภาษีอากรขาเข้าที่ผู้นำเข้าสินค้าต้องดำเนินการชำระตามกฎหมาย 

ปัจจุบัน มีหลายบริษัทที่ต้องเสียภาษีมากกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ทำให้ส่งผลกระทบต่อกำไรของธุรกิจ ทั้งที่จริงๆ แล้ว มีหลายวิธีที่สามารถลดอากรขาเข้าได้ ซึ่งไม่เพียงแค่ช่วยประหยัดต้นทุนผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภาพรวมทั้งหมดอีกด้วย โดยต่อไปนี้คือเคล็ดลับการนำเข้าอย่างชาญฉลาดและถูกวิธี 

1. ความแตกต่างระหว่างประเทศ
การเรียกเก็บภาษีสำหรับสินค้าในแต่ละประเทศมีอัตราและข้อบังคับที่แตกต่างกัน สิ่งที่พบได้บ่อยที่สุดคือการออกกฎเพื่อป้องกันการถูเอาเปรียบทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ อย่างไรก็ตาม การจัดส่งข้ามพรมแดนจะต้องเสียภาษีนำเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม GST หรือ Goods and Services Tax (ภาษีการขายและการบริการ) สำหรับการนำเข้าจากบางประเทศ อาจคิดภาษีเพิ่มเป็นสองเท่าจากการซื้อสินค้าออนไลน์

2. ความรับผิดชอบต่อห่วงโซ่อุปทาน
มีหลายบริษัทที่ต้องจัดสรรภาษีศุลกากรและคำนวณอัตราภาษี ซึ่งบางบริษัทอาจผลักภาระไปที่ผู้ให้บริการขนส่ง หากคุณโชคดี อาจเจอกับชิปปิ้งที่คำแนะนำและช่วยคำนวณอัตราภาษีได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าโชคร้ายได้เจอกับชิปปิ้งเถื่อน พวกเขาอาจชาร์จค่าขนส่ง และทำให้ต้นทุนสินค้าของคุณเพิ่มโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น การเลือกใช้บริการกับชิปปิ้งที่เป็นมืออาชีพ และมีประสบการณ์สูง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเลือกให้ดี

3. ตรวจสอบข้อมูลเรื่องภาษีอยู่เสมอ
ในทุกๆ ปี อัตราภาษีอาจมีการเปลี่ยนแปลง ผู้นำเข้าจึงควรตรวจสอบข้อมูลอยู่เสมอ ทั้งนี้ อัตราภาษีที่จัดเก็บนั้น มักขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน และค่าเงินที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลต้องมองหาแหล่งรายได้ของภาษีใหม่

4. ศึกษาผลิตภัณฑ์ที่มีการควบคุม
ผลิตภัณฑ์ในหลายประเทศมีการควบคุมหรือเป็นสินค้าต้องกำกัด เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราภาษีนำเข้า บางประเทศอาจคิดค่าภาษีนำเข้าสูงกว่าสินค้าปกติทั่วไป เนื่องจากผลิตภัณฑ์บางอย่างอาจอยู่ภายใต้การควบคุมเพื่อรักษาสถานะของการค้าภายในประเทศ และในบางสถานการณ์ผลิตภัณฑ์ต้องห้ามและต้องกำกัด อาจมีสถานะผิดกฎหมาย

5. เช็คพิกัดภาษีให้ถี่ถ้วน ผู้นำเข้าต้องทราบว่า หนึ่งในกระบวนการที่ยากที่สุดและใช้เวลานานที่สุดของการคำนวณภาษีที่ถูกต้องคือการตรวจสอบพิกัดภาษีนำเข้าให้ถูกต้อง ปัจจุบันสามารถให้บริษัทชิปปิ้งเป็นผู้ตรวจสอบให้ได้ หรือผู้นำเข้าสามารถเช็คพิกัดภาษีได้จากบนเว็บไซต์ของกรมศุลกากร หรือโทรสอบถามเจ้าหน้าที่ศุลกากรเพื่อทำการตรวจสอบให้ก็ได้ที่เบอร์ 02-667-7000 ต่อ 205144 อย่างไรก็ตาม หมายเลขของรหัสภาษีตัวแรกจะเป็นตัวเลขที่เป็นสากล และตัวเลขสุดท้ายจะแตกต่างกันไปตามประเทศ หากรหัสผิด หรือใช้รหัสของประเทศอื่น อาจทำให้คุณเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

6. คำนวณภาษีที่ต้องชำระทั้งหมด
โดยปกติแล้ว การนำเข้าสินค้านั้น จะต้องเสียภาษีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ ภาษีอากรนำเข้า ภาษีสรรสามิต (สำหรับการนำเข้าสินค้าบางประเภทที่จำเป็นต้องเสียภาษีสูงกว่าปกติ เช่น สินค้าที่บริโภคแล้วเกิดผลเสียต่อสุขภาพ อาทิ สุรา ยาสูบ พรมหรือสิ่งทอที่ทำด้วยขนสัตว์ รถจักรยานยนต์ ฯลฯ) ภาษีมหาดไทย และภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้นำเข้าควรคำนวณค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นต้องจ่าย เช่น ค่าทำประกันภัยขนส่ง การทราบรายจ่ายทั้งหมดของการนำเข้า จะช่วยให้คุณวางแผนและควบคุมค่าใช้จ่ายในครั้งต่อไปได้อย่างรัดกุมมากยิ่งขึ้น

ที่มาข้อมูล : https://opas.com/

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *