1. ค่าจ้างแรงงานต่ำ
จีนมีประชากรมากที่สุดในโลกหรือประมาณ 1.39 พันล้านคน โดยกฎของอุปสงค์และอุปทานชี้ให้เห็นว่า เมื่ออุปทานขอ งแรงงานมีมากกว่าอุปสงค์หรือความต้องการแรงงาน ค่าแรงจึงอยู่ในระดับต่ำ ยิ่งไปกว่านั้นคนจีนส่วนใหญ่ ที่อพยบเข้ามาในเมือง ยินดีที่จะทำงานเพื่อรับค่าแรงที่ไม่สูง แต่ปัจจุบันจีนได้เพิ่มค่าแรงขั่นต่ำให้กับแรงงานผลิต เพื่อตอบสนองต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การผลิตในจีนนั้นยังคงใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่า และหากคิดเป็นสถิติแล้ว การผลิตสินค้าในจีนช่วยลดต้นทุนได้ 30-80% ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิต

2. ระบบนิเวศทางธุรกิจ
ระบบนิเวศทางธุรกิจในจีนมีการพัฒนาค่อนข้างมากในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การผลิตภาคอุตสาหกรรมในจีนเป็นความสัมพันธ์ทางธุรกิจลักษณะเครือข่าย ทั้งซัพพลายเออร์ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย หน่วยงานราชการและลูกค้า ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต อาทิ เซินเจิ้น เมืองที่มีพรมแดนติดฮ่องกงในภาคตะวันออกเฉียงใต้ มีการพัฒนาเป็นศูนย์กลางสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยปลูกฝังระบบนิเวศทางธุรกิจเพื่อสนับสนุนห่วงโซ่อุปทาน การผลิต รวมถึงผู้ผลิตชิ้นส่วน ต้นทุนแรงงาน พนักงานด้านเทคนิค ซัพพลายเออร์ประกอบและลูกค้า

3. วิวัฒนาการการจัดการห่วงโซ่อุปทาน
ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการผลิต มีซัพพลายเออร์จีนจำนวนมากเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการต่างชาติมีตัวเลือกที่มากขึ้น และมีประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้จึงสนับสนุนและผลักดันให้ซัพพลายเออร์จีนต้องอัพเดทเทคโนโลยีล่าสุดและยกระดับมาตรฐานเพื่อดึงดูดลูกค้ามากขึ้น ด้วยตลาดที่กำลังเติบโต การเข้าถึงแรงงานต้นทุนต่ำ และความได้เปรียบทางเทคโนโลยีของจีนกำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการผลิตในต่างประเทศ

4. สภาพแวดล้อมการทำงานดีกว่าประเทศค่าแรงต่ำอื่น ๆ
ผู้ผลิตทางตะวันตกปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสุขภาพความปลอดภัยในการจ้างงานและสิ่งแวดล้อมต่างๆ อย่างเคร่งครัด ในขณะที่ผู้ผลิตชาวจีนต่างดำเนินงานภายใต้กฎระเบียบด้านสุขภาพ ความปลอดภัยในการจ้างงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แม้ว่าโรงงานบางแห่งไม่ได้มีสภาพการทำงานที่ดี แต่โดยทั่วไปแล้ว ก็มีการปรับปรุงมาตรฐานให้ดีขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่คุณจะพบโรงงานผลิตและส่งออกที่มีสภาพแวดล้อมเลวร้าย ซึ่งมาตรฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และบังคลาเทศยังสามารถตอบสนองความต้องการของร้านค้าปลีกตะวันตกได้เป็นอย่างดี

5. ภาษีและอากร
นโยบายการคืนภาษีส่งออกของจีนได้เริ่มต้นเมื่อปี 2528 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันการส่งออก โดยยกเลิกการเก็บภาษี 2 เท่าสำหรับสินค้าส่งออก ทั้งนี้สินค้าส่งออกจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 0% นั่นหมายความว่า พวกเขาจะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือคืนภาษี นอกจากนี้สินค้าที่นำเข้าจากจีนมาไทยและประเทศที่เป็นสมาชิกของ ACFTA จะได้รับการลดหย่อนภาษีนำเข้าจากจีนต่ำสุด 0% หากมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าหรือ Form E อัตราภาษีที่ลดลงช่วยให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง ทำให้จีนดึงดูดผู้ประกอบการต่างชาติและบริษัทที่ต้องการผลิตสินค้าต้นทุนต่ำในจีนได้อย่างไม่ต้องสงสัย

อ้างอิงข้อมูล : https://www.investopedia.com/articles/investing/102214/why-china-worlds-factory.asp